ปั่นจักรยานดีอย่างไร?
ขี่จักรยานบางคนถามว่าไม่เห็นจะได้อะไรเลย เหนื่อยก็เหนื่อย แดดก็ร้อน จักรยานก็แพง ชุดก็แพง เสียเวลา เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ทำงานเหนื่อยก็ได้ออกกำลังเหมือนกัน บางคนสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ชวนให้ขี่จักรยาน กลับบอกว่าไม่มีเวลาอ้างสารพัดเหตุผลที่จะไม่ทำ ทั้งที่ทุกอย่างที่ว่ามาทำเพื่อตัวเอง เวลาไปหาหมอ หมอนัด 9 โมงเช้าไปตั้งแต่ 7โมง ตรวจเสร็จกว่าจะได้กลับบ้านก็หมดไปเกือบวัน แบบนี้มีเวลาครับ คนอะไรไม่รักตัวเอง คอยจะพึ่งแต่คนอื่น เราต้องพึ่งตัวเองก่อน ช่วยเหลือตัวเองก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยพึ่งหมอ พึ่งโรงพยาบาล แต่ต้องสำนึกว่าต้องพึ่งพาตนเองก่อนครับ
ลองมาดูขี่จักรยานแค่1 ช.ม เราได้อะไรบ้าง มาดูครับ ว่าคุ้มไหมกับการเสียเวลา1ช.ม ถ้าไม่คุ้มจะได้ตัดใจไม่ขี่เสียเลยครับ เริ่มต้นพิจารณาเลยครับ
- เมื่อนั่งอยู่บนอาน กล้ามเนื้อขาทุกส่วนได้ออกกำลัง และได้สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อครับ แขนจับที่แฮนด์กล้ามเนื้อแขนและไหล่ รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ยึดสันหลังได้ทำงานเคลื่อนไหวตลอดเวลาครับ คอและตาได้เคลื่อนไหวร่วมกันได้บริหารทั้งสองส่วน ระบบการทรงตัวต้องทำงานตลอดเวลาจึงได้บริหารระบบการทรงตัวไปโดยอัตโนมัติครับ ถ้าระบบการทรงตัวไม่ดีขี่จักรยานไม่ได้ครับ เท่ากับเราได้ตรวจสอบระบบการทรงตัวของเราครับ
- ปอดทำงานมาก ปอดก็แข็งแรง เมื่อหายใจมาก การแลกเปลี่ยนออกซิเจนกับเลือดมากขึ้นทำให้ร่างกายไม่เป็นกรด เพราะเมื่อเลือดเป็นกรดเราจะป่วยครับ
-หัวใจทำงานมากขึ้น เท่ากับเราได้บริหารหัวใจให้แข็งแรงครับ แล้วยังได้สูบฉีดเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงครับ
- การสูญเสียพลังงาน ในรูปของไกลโคลเจน ทำให้เราได้เผาผลาญไขมันครับ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ไขมันในหลอดเลือดลดน้อยลงครับ และยังสูญเสียคาร์โบไฮเดรตในรูปของน้ำตาล ก็เลยทำให้น้ำตาลในเส้นเลือดน้อยลงครับ ถ้าท่านป่วยเป็นเบาหวานการกินยาก็ลดน้อยลง หรือบางท่านแทบไม่ต้องกินยาเลยครับ
- เมื่อเราสูญเสียพลังงาน ร่างกายก็ต้องผลิตขึ้นมาทดแทน โดยผ่านการดูดซึมจากกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพราะฉะนั้นกระเพาะอาหาร และลำไส้ก็แข็งแรงขึ้นครับ
- เมื่อขี่จักรยานแล้วเกิดการระบายความร้อนผ่านทางเหงื่อ ทำให้ได้ขับของเสียผ่านรูขุมขน ทำให้ภายในร่างกายเราสะอาดขึ้นครับ
- การขี่จักรยานทำให้ข้อต่อ กระดูก เส้นเอ็นได้เคลื่อนไหวครับ
- ขี่จักรยาน ไม่เกินโซน2 ก็คือประมาณวิ่งมาราธอน เกิน 50 นาที ทำให้เกิดการหลั่งของ แอนโดรฟิน ซึ่งช่วยซ่อมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และทำให้สดชื่นครับ
- ได้รับแสงแดดในตอนเช้า และ ได้บริหารระบบหายใจ ทำให้นักขี่จักรยานไม่เป็นหวัดหรือถ้าเป็นหวัดก็หายเลยครับ ภูมิแพ้ก็หายเช่นเดียวกันครับ
- ขี่จักรยานทำให้สมาธิดีครับ
- ขี่จักรยานทำให้รู้สึกคำว่า พอเพียง เพราะขณะปั่นจักรยานเราต้องบริหารแรงที่มีอยู่ พอรู้สึกหิว ก็มองหาของกิน ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่เจอร้านของกินสักที หิวก็หิว ปั่นต่อไปอีก ก็ยิ่งหิว แรงก็หมด สิ่งที่อยากได้เวลานั้นมีอย่างเดียว คืออาหารครับ ความพอเพียงเกิดเลยครับ เพราะคนเราที่จริงมันก็แค่นี้จริงๆครับ กฎเกณฑ์การขี่จักรยานให้ได้ผลดีและปลอดภัย - ข้อแรกสำคัญที่สุด อย่าผลักดันตัวเอง ตามคนที่มีความสามารถสูงกว่าโดยเด็ดขาด
- ข้อสองเดินทางเป็นกลุ่มเอาคนที่มีความสามารถน้อยสุดมาเป็นตัวตั้ง คือเป็นตัวมาตรฐานการเดินทางครับ
- ข้อสามประชุมหารือกันก่อนออกเดินทาง ให้ทุกคนยอมรับวิธีการตามข้อสองให้ได้
- ข้อสี่ควบคุมการขี่ให้อยู่ไม่ให้เกินโซน2 ของการออกกำลังกายคือประมาณ 65-75% ของความสามารถสูงสุด ของคนที่มีความสามารถน้อยที่สุดขณะนั้นครับ
- ข้อห้าห้ามขี่แบบบ้าพลังอัดแข่งกันไปเหนื่อยแล้วพัก หายเหนื่อยแล้วขี่ต่อครับ ซึ่งมีข้อเสียอย่างมากมาย
วิธีนี้ไม่สามารถนำมาขี่ทางไกลได้ครับ แม้แต่ แล้มป์ แชมป์3 สมัยก็ไม่ใช้วิธีขี่แบบนี้ครับ
- ถ้าใช้วิธีตามข้อห้า ผลเสียคือ
1. การหลั่งของกรดแลคติคอย่างรวดเร็วเพราะเข้าสู่โซนอแนโรบิค กรดนี้มีผลทำลายกล้ามเนื้อ มีอาการดังนี้คือหลังจากหยุดพักแล้วขี่ต่อ จะปวดล้ากล้ามเนื้อทั้งๆที่มีแรงขี่ต่อ กรดนี้ร่างกายสร้างเป็นอัตโนมัติเพื่อหยุดให้เราทรมานร่างกายอีกต่อไป คือคุณต้องหยุดขี่นั่นเอง
2.กรดนี้จะสะสมอยู่ในร่างกายอีก 2-3 วันซึ่งจะมีผลกับการขี่วันต่อไป ถ้ายังใช้การขี่แบบนี้อยู่ กรดก็จะหลั่งสะสมเพิ่มอีก ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการขี่ ท่านก็จะมีอาการจมกรดในที่สุดครับ
3. เสี่ยงต่อการทำงานของหัวใจอยู่ใน MAX HR บ่อยเกินไป หัวใจก็โต ผลเสียเฉียบพลันต่อหัวใจอีกมากมาย
4. การใช้พลังงานไม่สมดุล เพราะโซนนี้เป็นโซนอแนโรบิคซึ่งใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 80-90% ที่เหลือเป็นไขมัน เมื่อเชื้อเพลิงจากคาร์โบไฮเดรตหมดเราก็ล้าและหมดแรงในที่สุด ทำให้ขาดความทนทาน ระยะทางการขี่ต่อวันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าใช้การขี่โซน2 ซึ่งเป็นโซนแอโรบิค ร่างกายจะใช้พลังงาน ไขมัน/คาร์โบไฮเดรต 50/50 โดยประมาณ ซึ่งทำให้การเผาผลาญหมดจด และสมดุล ทำให้ขี่ได้ทนทานและได้ระยะทางต่อวันมาก และร่างกายไม่เสียหายครับ
5. การหลั่งอะดรีนาลีน ทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่ หง่อม
6. เกิดการสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง และสูญเสียเกลือแร่มากับเหงื่อซึ่งเหงื่อมีหน้าที่ระบายความร้อน
- ข้อหก ก่อนออกเดินทางดื่มน้ำให้เพียงพอ แล้วดื่มน้ำแบบจิบทุกๆ 20 นาที
อย่ารอจนกระหายน้ำ ถ้ามีอาการกระหายน้ำแสดงว่าร่างกายเราขาดน้ำแล้วครับ
ข้อระวังการขาดน้ำอย่างรุนแรง จะมีอาการ ดังนี้คือเมื่อหยุดพักเหงื่อจะออกอย่างมาก
จนโชกตัว ตัวจะเย็น อาจเกิดการช็อคหมดสติได้ครับ วิธีแก้ไขคือ นอนราบ สักพักแล้วดื่มน้ำ อีกสักพักค่อยดื่มเกลือแร่ตาม นอนจนดีขึ้น แล้วไปพักผ่อนต่อ โดยหยุดขี่ต่อทันทีครับ อาการที่ว่านี้ภาษาออกกำลังกายเรียกว่า เกิดอาการ BONK ครับ ขี่แล้ววูบ ขี่แล้วหน้ามืด เป็นลม สาเหตุส่วนมากเกิดจากอาการนี้ทั้งนั้นครับ ถ้าขาดน้ำแต่ไม่มากจะปวดหัวครับแล้วปวดมากด้วย แบบนี้เรียกว่า BURN ครับ บางท่านเข้าใจผิดนึกว่าความดันขึ้น ตกใจไปกันใหญ่ครับ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://hosxp.net/smf/index.php?topic=15435.0;wap2 |